obj
obj

คอลัมน์บอล

TOP 50 นักฟุตบอลที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลก (อันดับที่ 1-10)

TOP 50 นักฟุตบอลที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลก (อันดับที่ 1-10)


อันดับที่ 10: มาร์โก แวน บาสเท่น (Marco van Basten)



จุดพีค: 1988-1992

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (1988, 1989, 1992), แชมป์ยูโร (1988), แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัย, แชมป์เซเรียอา 4 สมัย, แชมป์เอเรดิวิซี่ 3 สมัย, รางวัลดาวยิงสูงสุด & รองเท้าทองคำ 9 รายการ, บัลลงดอร์ ดรีมทีม (Bronze)


แม้ว่า ‘เพชฌฆาตพรายกระซิบ’ จะแขวนสตั๊ดตั้งแต่อายุแค่ 28 ปี แถมยังเจออาการบาดเจ็บจนไม่ได้ลงเล่นเลยถึง 2 ปี (เริ่มเจ็บในปี 1992 ที่โดน บาซีล โบลี่ เข้าปะทะอย่างรุนแรงจนต้องผ่าตัดข้อเท้าครั้งที่ 3 ในอาชีพ จนยุติอาชีพค้าแข้ง) แต่เขากลับกวาดแทบทุกรางวัลที่เป็นไปได้ในสังเวียนกีฬาขาสั้น


มันช่างน่าเสียดาย เมื่อเราได้เห็น แวน บาสเท่น เข้าสู่จุดพีคของเขาร่วมกันกับ ‘สามทหารเสือ’ รุด กุลลิท และ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด แต่กลับประสบกับชะตากรรมเช่นนี้ ก็คิดเอาว่า จะมีนักเตะสักกี่คนที่ได้ บัลลงดอร์ 3 สมัย ภายใน 5 ปี ถ้าถามว่ายุคนั้นเวทีการแข่งขันเข้มข้นหรือไม่? เซเรียอา ยุค 90 ก็มีทั้งศอก หมัด และเข่า ประเคนให้เหล่าตัวรุกอย่างครบครัน แถมคู่แข่งชิงความเป็นที่หนึ่ง ก็มีทั้ง โรแบร์โต บาจโจ้, โลธาร์ มัทเธอุส หรือแม้แต่ เจอร์เกน คลินส์มันน์


ในผลโพลของประเทศเนเธอร์แลนด์ แฟนบอลยกย่องให้เขาเป็นแข้งดัตช์ที่ดีที่สุดต่อจาก ‘นักเตะเทวดา’ โยฮัน ครัฟฟ์


อันดับที่ 9: อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ (Alfredo Di Stefano)



จุดพีค: 1956-1962

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (1957, 1959), แชมป์โคปา อเมริกา (1947), แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 5 สมัย, แชมป์ลาลีกา 8 สมัย, แชมป์ลีกอาร์เจนติน่า 2 สมัย, แชมป์ลีกโคลัมเบีย 3 สมัย, รางวัลดาวยิงสูงสุด & รองเท้าทองคำ 11 รายการ, บัลลงดอร์ ดรีมทีม (Silver)


ต่อให้ตัดเรื่องฝีเท้าในสนามออกไป อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ ก็ยังคงเป็นตำนานผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของ ‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด อยู่ดี จากบารมีที่รับใช้ต้นสังกัดด้วยความซื่อสัตย์จนลมหายใจสุดท้าย


จุดเริ่มต้นของการเป็นจักรพรรดิยุโรปอยู่ที่ เขาพาสโมสรคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 5 สมัยติดต่อกัน โดยเป็นดาวยิงสูงสุดในเวทีนี้ 2 ครั้ง ขวบปีเดียวกับที่เขาได้รางวัลส่วนตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่าง บัลลงดอร์ ซึ่ง เปเล่ ตำนานทีมชาติบราซิล เคยยกย่องเขาว่า เป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก ยิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก


คงมีไม่กี่คนหรอกที่จะยิงนัดชิงชนะเลิศ ยูโรเปี้ยน คัพ ด้วยการแฮตทริคใส่ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต ปี 1960 จนจบลงด้วยสกอร์ถล่มทลาย 7-3


อันดับที่ 8: แกร์ด มุลเลอร์ (Gerd Muller)



จุดพีค: 1970-1974

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (1970), แชมป์โลก (1974), แชมป์ยูโร (1972), แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัย, แชมป์บุนเดสลีกา 4 สมัย, รางวัลดาวยิงสูงสุด & รองเท้าทองคำ 15 รายการ


แม้ว่า แกร์ด มุลเลอร์ จะคว้าบัลลงดอร์มาได้แค่สมัยเดียว แต่คุณคงหาเพชฌฆาตที่กระหายเลือดระดับเขาไม่ได้อีกแล้ว เขาอาจไม่ใช่กองหน้าประเภทชั้นเชิงสูง หรือมีร่างกายที่กำยำจนไม่มีกองหลังคนไหนกล้าว๊ากใส่ แต่นี่คือดาวยิงต้นตำรับของคำว่า ‘นักล่าประตู’ หรือ ‘Goal Poacher’


ชายคนนี้กดไป 570 ประตู กับอีก 103 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 613 นัด ให้กับ บาเยิร์น มิวนิค และหากนับทัวร์นาเมนต์ใหญ่ในนามทีมชาติ กล่าวคือเขาลงสนามไป 23 นัด ในศึกฟุตบอลโลก และฟุตบอลยูโร รวมกัน ยิงไปหมด 26 ประตู กับอีก 6 แอสซิสต์ ก็คงการันตีความเก่งกาจจมูกไว และคู่ควรกับการขึ้นแท่นเป็นสไตรเกอร์ที่ดีที่สุดในยุคของเขาได้เลย


*เกร็ดน่ารู้ เขายึดตัวจริงของ ‘เสือใต้’ ได้ตั้งแต่อายุ 19 ปี และเป็นแกนหลักร่วมกับ เซปป์ ไมเออร์ และ ฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ มานานนับทศวรรษ


อันดับที่ 7: มิเชล พลาตินี่ (Michel Platini)



จุดพีค: 1983-1986

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (1983,1984, 1985), แชมป์ยูโร (1984), แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1 สมัย, แชมป์เซเรียอา 2 สมัย, แชมป์ลีกเอิง 1 สมัย, รางวัลดาวยิงสูงสุด & รองเท้าทองคำ 5 รายการ, หอเกียรติยศ 3 รายการ (สหพันธ์นานาชาติ, อังกฤษ, อิตาลี), ติดทีมยอดเยี่ยมประจำปีกว่า 18 รายการ, บัลลงดอร์ ดรีมทีม (Bronze)


จักรพรรดินโปเลียน คือ รัฐบุรุษและผู้บัญชาการทหารที่มีชื่อเสียงในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส และชายที่ได้รับฉายาว่า ‘นโปเลียนลูกหนัง’ ก็คงพอให้คุณทึกทักได้บ้างว่า มิเชล พลาตินี่ ได้รับการเชิดชูมากขนาดไหน


หนึ่งในมิดฟิลด์จอมถล่มประตูที่ดีที่สุด เขาพาทีมชาติเจ้าภาพอย่าง ฝรั่งเศส เป็นแชมป์ยูโร 1984 ด้วยการยิงทุกนัด ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ยันนัดชิงชนะเลิศ โดยเป็น ยูโกสลาเวีย ที่รับบาปหนักที่สุด ก็เล่นไปยิงนำพวกพี่เขาก่อน 0-1 ก็ต้องโดน พลาตินี่ ซัดแฮตทริคใน 18 นาที ไปสิครับ ส่วน เบลเยี่ยม ที่เจอก่อนตั้งแต่นัดแรก ก็โดนพี่แกแฮตทริคไปเช่นกัน จนจบเกม ฝรั่งเศส ถล่มเละเทะ 5-0


นอกจากสหพันธ์นานาชาติแล้ว พิพิธภัณฑ์ฟุตบอลนานาชาติของประเทศอังกฤษ และสมาคมฟุตบอลอิตาลี ก็ต่างจัดเขาอยู่หอเกียรติยศของนักฟุตบอลที่ดีที่สุดตลอดกาลของทวีปยุโรป เช่นกัน


อันดับที่ 6: ฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ (Franz Beckenbauer)



จุดพีค: 1972-1976

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (1972, 1976), แชมป์โลก (1974), แชมป์ยูโร (1972), แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัย, แชมป์บุนเดสลีกา 4 สมัย, ติดทีมยอดเยี่ยมประจำปี บุนเดสลีกา 12 ซีซั่นติดต่อกัน, นักฟุตบอลเยอรมันแห่งปี 4 ครั้ง, บัลลงดอร์ ดรีมทีม ตลอดกาล


‘ไกเซอร์ฟรานซ์’ ฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ ถูกยกย่องให้เป็นนักเตะเกมรับที่ดีที่สุดตลอดกาล ไม่ว่าเขาจะถูกส่งลงเล่นตำแหน่งไหนในแผงหลัง หรือแม้แต่มิดฟิลด์ตัวรับก็ตามที


ด้วยสไตล์การเล่นที่ไร้ซึ่งจุดอ่อน มีความเร็ว ความแข็งแกร่ง ไอคิวฟุตบอลสูง และยังสามารถ Build-Up เกมรุกจากแนวลึกได้ดี ซึ่งจุดเริ่มต้นก็มาจากการที่เขาเคยเล่นในฐานะกองหน้าตัวเป้ามาก่อนในช่วงแรกที่ลงเดบิวต์ให้ บาเยิร์น มิวนิค ก่อนถูกจับไปยืนในตำแหน่งปีกซ้าย และปรับตัวเข้าได้หมดในทุกตำแหน่ง จนถูกยกให้เป็นจักรพรรดิลูกหนังผู้ยิ่งใหญ่แห่งเยอรมนี


เขาคือ 1 ใน 9 ผู้เล่นที่สามารถคว้ารางวัลใหญ่ที่สุด 3 รายการของอาชีพนักฟุตบอล ฟุตบอลโลก, ฟุตบอลยูโร และ บัลลงดอร์ รวมถึงติด ทีมยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษที่ 20, ดรีมทีม ตลอดกาล ฟุตบอลโลก, ดรีมทีม ตลอดกาล แห่งสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ และ บัลลงดอร์ ดรีมทีม ตลอดกาล


อันดับที่ 5: เฟเรนซ์ ปุสกัส (Ferenc Puskás)



จุดพีค: 1960-1965

ความสำเร็จโดดเด่น: รองแชมป์โลก (1954), แชมป์โอลิมปิก (1952), แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัย, แชมป์ลาลีกา 5 สมัย, รางวัลดาวยิงสูงสุด & รองเท้าทองคำ 11 รายการ, นักเตะแห่งศตวรรษที่ 20 โดย สหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลนานาชาติ (IFFHS) และ นิตยสาร L Équipe


คุณเองก็เคยได้ยินรางวัล Puskás Award ใช้ไหมล่ะ?


นี่แหละคือที่มาของ รางวัลประตูที่สวยที่สุดในแต่ละปี เฟเรนซ์ ปุสกัส ย้ายมาร่วมทัพ เรอัล มาดริด และกลายเป็นพระรองที่ดีที่สุดตลอดกาลให้กับราชันย์สโมสรอย่าง อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ ซึ่งความสำคัญของเขายิ่งถูกยกย่องมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อแฟนบอลเริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งอื่นมากกว่าแค่การทำประตู


เขาติดทีมชาติตั้งแต่อายุ 18 ปี และแสดงความเป็นจอมถล่มประตูตั้งแต่นัดแรก จนกระทั่งได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมลุยศึกฟุตบอลโลก แม้เขาจะทำประตูได้ในนัดชิงชนะเลิศกับ เยอรมนี ตะวันตก แต่ก็ต้องอกหักพ่ายไป 3-2 อย่างน่าเสียดาย กระนั้น เขาเฉิดฉายในฐานะตัวรุกร่วมกับ อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน่ และ ปาโก เกนโต้ จนจบอาชีพค้าแข้งไปด้วยสถิติระดับประวัติการณ์ ลงสนาม 719 นัด ยิง 708 ประตู จ่าย 404 แอสซิสต์


ไม่ต้องบอกก็พอรู้ว่า นี่คือจอมแอสซิสต์ที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เมืองมนุษย์...!!


*เกร็ดน่ารู้ ในปี 2009 สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) จะประกาศให้แฟนบอลได้รู้จักกับ Puskás Award สำหรับลูกยิงที่สวยที่สุดในรอบปฏิทินนั้น เพื่อเป็นเกียรติแก่ตำนานผู้ล่วงลับรายนี้



อันดับที่ 4: เปเล่ (Pelé)



จุดพีค: 1958-1965

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (1958, 1959, 1960, 1961, 1963, 1964, 1970), แชมป์โลก 3 สมัย, แชมป์โกปา ลิเบอร์ตาดอเรส 2 สมัย, แชมป์บราซิล เซเรียอา 6 สมัย, แชมป์คัมเปโอนาโต้ เปาลิสต้า 10 สมัย, รางวัลดาวยิงสูงสุด & รองเท้าทองคำ 9 รายการ, นักเตะอเมริกาใต้ที่ดีที่สุดตลอดกาลของ สหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลนานาชาติ (IFFHS) และ นิตยสาร L Équipe, บัลลงดอร์ ดรีมทีม ตลอดกาล


หากคุณไปถามตาสี ตาสา หรือใครที่ไม่ได้ดูฟุตบอลว่า รู้จัก เปเล่ ไหม? คำตอบคงแทบจะเป็น 100% ว่ารู้จักหรือเคยได้ยินชื่อ!


นั่นแหละคืออิมแพ็คที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา ในอดีต France Football ที่เริ่มแจกรางวัลบัลลงดอร์ ตั้งแต่ปี 1956 จะมอบรางวัลนี้ให้กับนักเตะจากทวีปยุโรปเท่านั้น ก่อนที่ปี 1995 จะเปลี่ยนระบบใหม่ เป็นการขยายพื้นที่สำหรับนักเตะทั่วทุกมุมโลก และแน่นอนว่าในการประกาศรางวัลที่ผ่านมานั้น มีการมอบย้อนหลังทั้งหมด 12 ครั้ง และเป็น เปเล่ ที่เล่นอยู่ในประเทศบราซิล กวาดไปทั้งสิ้น 7 สมัย มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ตลอดกาล


ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 มีนักเตะเพียง 2 คน ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็น “นักเตะยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษ” และนักเตะคู่นั้นคือ เปเล่ กับ ดิเอโก้ มาราโดน่า


หากเรานับเกมกระชับมิตร เปเล่ ยิงไปทั้งสิ้น 1,284 ประตู จาก 1,375 นัด เป็นสถิติที่มากที่สุดจากการบันทึกของ กินเนสส์ บุ๊ค (Guinness Book) และในเกมทางการ เขายิงไปทั้งสิ้น 767 ประตู จาก 831 นัด ในขณะที่การจ่ายก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร แถมยังมากเป็นอันดับที่ 2 ของโลก เป็นรองเพียง เฟเรนซ์ ปุสกัส เท่านั้น คือ 369 แอสซิสต์


หากคุณรู้สึกทึ่งในทักษะฟุตบอล หรือเทคนิคการเล่นอันแพรวพราวของนักเตะทีมชาติบราซิล ขอให้รู้ว่า ท่วงท่าอันตระการตาเหล่านั้นล้วนเคยถูกแสดงให้โลกเห็นมาแล้ว ภายใต้รองเท้าสตั๊ดของชายที่ชื่อว่า เปเล่ 


อันดับที่ 3: โยฮัน ครัฟฟ์ (Johan Cruyff)



จุดพีค: 1971-1975

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (1971,1973, 1974), รองแชมป์โลก (1974), แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัย, แชมป์เอเรดิวิซี่ 9 สมัย, แชมป์ลาลีกา 1 สมัย, รางวัลดาวยิงสูงสุด & รองเท้าทองคำ 8 รายการ, นักเตะดัตช์ประจำปี 3 ครั้ง, นักเตะยุโรปที่ดีที่สุดแห่งศตวรรษของ สหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลนานาชาติ (IFFHS), บัลลงดอร์ ดรีมทีม (Silver)


ชายผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในความสวยงามของเกมบนผืนหญ้า การครองบอลที่ดูงดงามราวกับเต้นระบำ โยฮัน ครัฟฟ์ ถูกยกย่องให้เป็น ‘นักเตะเทวดา’ ชายผู้กลายเป็นต้นตำรับของการพลิกบอลกลับหลัง ‘ครัฟฟ์ เทิร์น’ (Cruyff Turn) และปรัชญาที่ยึดโยงมานานกว่า 50 ปี ‘โททัล ฟุตบอล’ (Total Football)


ลูกศิษย์ของท่านนายพล ไรนุส มิเชลส์ ก้าวข้ามครูบาอาจารย์ ด้วยการซึมซับปรัชญา โททัล ฟุตบอล และรังสรรค์ออกมาในฐานะศูนย์กลางของระบบการเล่น เปรียบเสมือนบิดาแห่งการเล่นฟุตบอลที่ดูอัศจรรย์ใจ เขากลายเป็นแรงบันดาลใจจนเกิดแคมเปญมากมาย รวมถึงเป็นต้นแบบของยอดนักเตะระดับโลกจวบจนถึงปัจจุบัน โดยมี 14 สิ่งสำคัญที่ ครัฟฟ์ สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาสำหรับการเป็นยอดนักเตะ


เล่นเพื่อทีม, มีความรับผิดชอบ, ความเคารพผู้อื่น, ผสานงานกับผู้อื่น, สร้างสิ่งใหม่, ช่วยเหลือผู้อื่น, เป็นตัวของตัวเอง, ใส่ใจคนรอบตัว, เข้าใจในเบสิคฟุตบอล, เรียนรู้แท็คติค, พัฒนาร่างกายและจิตใจ, เรียนรู้ในทุกวัน, เล่นร่วมกับผู้อื่น และ สร้างสรรค์ความงดงามในเกม


ความเฉพาะตัวของ ครัฟฟ์ ทำให้เราเชื่อได้ว่า โลกนี้คงไม่มีคนพิเศษแบบเขาให้เห็นอีกแล้ว เขาไม่ได้เป็นเพียงศิลปินลูกหนังในสนามเท่านั้น แต่เขายังเป็นนักปรัชญาทั้งจิตวิญญาณและทัศนคติความคิด เพราะสำหรับ ครัฟฟ์ แล้ว “การเล่นฟุตบอลนั้นง่ายมาก แต่การเล่นให้ง่ายนั่นแหละที่ยากที่สุด”


อันดับที่ 2: คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (Cristiano Ronaldo)



จุดพีค: 2010-2018

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (2008, 2013, 2014, 2016, 2017), แชมป์ยูโร (2016), แชมป์สโมสรโลก 4 สมัย, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 5 สมัย, แชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, แชมป์ลาลีกา 2 สมัย, แชมป์ซีเรียอา 2 สมัย, รางวัลดาวยิงสูงสุด & รองเท้าทองคำ 18 รายการ, นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 26 รายการ, ติดทีม FIFPRO 15 ครั้ง, บัลลงดอร์ ดรีมทีม ตลอดกาล


หากจะมีใครสักคนที่คู่ควรกับคำว่า “สมบูรณ์แบบ” คนนั้นคงจะเป็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อย่างไม่ต้องสงสัย


จากเด็กหนุ่มพรสวรรค์ที่ท้าทายอำนาจของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้ผู้บัญชาการที่ดีที่สุด เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จนเหล่า ‘ปีศาจแดง’ ทั้งหลายต่างกรูกันเข้ามาขอร้อง ป๋าเฟอร์กี้ ซื้อตัวเขาเข้ามาร่วมทีม สู่การเป็นสุดยอดนักเตะบัลลงดอร์ ก่อนก้าวข้ามทุกตำนานไปสู่จุดสูงสุดของม่านประวัติศาสตร์


โรนัลโด้ เป็นที่ยอมรับทั่วทุกสารทิศในโลกฟุตบอลถึงความเพียรพยายาม ความอุตสาหะ และวินัยที่เคร่งครัด รวมไปถึงแพสชั่นที่มีต่อเกมลูกหนังอย่างไม่จบสิ้น แม้จะประสบความสำเร็จมามากจนแทบหาใครมาเทียบไม่ได้แล้วก็ตาม เขากลายเป็นไอค่อนสำหรับเด็กยุคใหม่ เป็นสุภาพบุรุษลูกหนังที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนบนโลก แม้แต่ระดับนักฟุตบอลอาชีพที่ได้รับค่าเหนื่อยมากกว่าปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป ยังมองแผ่นหลังและวาดฝันถึงการเดินตามรอยเท้าของดาวเตะโปรตุกีสรายนี้


เจ้าของฉายา CR7 สร้างสถิติไว้มากมายชนิดที่ไม่ต้องอธิบายก็คงเข้าใจกัน เขาคือตำนานที่เก่งที่สุดของ ‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด และคว้าแชมป์กับทุกสโมสรที่เคยไปค้าแข้ง ถูกยกย่องให้เป็น 1 ใน 2 นักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาล เป็นคนที่ประวัติศาสตร์ฟุตบอลต้องจารึกเอาไว้ว่า "ชายคนนี้คือคนที่ใกล้เคียงกับพระเจ้ามากที่สุด"


อันดับที่ 1: ลีโอเนล เมสซี่ (Lionel Messi)



จุดพีค: 2008-2012

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (2009, 2010, 2011, 2012, 2015, 2019, 2021, 2023), แชมป์โลก (2022), แชมป์โคปา อเมริกา (2021), แชมป์สโมสรโลก 3 สมัย, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 4 สมัย, แชมป์ลาลีกา 10 สมัย, แชมป์ลีกเอิง 2 สมัย, รางวัลดาวยิงสูงสุด & รองเท้าทองคำ 21 รายการ, นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 44 รายการ, ติดทีม FIFPRO 17 ครั้ง, บัลลงดอร์ ดรีมทีม ตลอดกาล


บัลลงดอร์ 8 สมัย มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ หรือจะแชมป์ในนามทีมชาติและสโมสร ทุกอย่างมันครบถ้วนสมบูรณ์ทุกองค์ประกอบเท่าที่จะเป็นไปได้…


ลีโอเนล เมสซี่ ลบคำครหาของการเป็นหมายเลข 2 ต่อจากเหล่าตำนานทุกภูมิภาค เมื่อเขาสามารถพิชิตความสำเร็จได้ทุกรูปแบบ ทั้งการทำประตู การทำแอสซิสต์ การประดับบารมีด้วยแชมป์นานาประเทศ และการพาทีมชาติอาร์เจนติน่า เถลิงบัลลังก์ที่อยู่บนจุดสูงสุดของเวทีลูกหนัง 


“World Cup 2022”


ความมหัศจรรย์ตลอดเส้นทางอาชีพที่ไม่อาจหาใครเทียบเคียง ชายที่ถูกยกให้เป็น “พระเจ้าของโลกลูกหนัง” กับสถิติระดับอภิปรากฎการณ์ ที่เหนือยิ่งกว่าปรากฎการณ์ทั่วไป อาทิ ส่งลูกบอลลงไปกองที่ก้นตาข่าย 91 ประตู ในรอบ 1 ปฏิทิน หรือพา บาร์เซโลน่า ในยุคต่างดาวของ โจเซป กวาร์ดิโอล่า ชนะในทุกทัวร์นาเมนต์ที่ลงแข่งใน 1 ซีซั่น ชายที่ทุกคนต่างเรียกเขาว่า "GOAT" หรือ "The Greatest of All Time"


และนี่คือบทสรุปสุดท้ายของ TOP 50 นักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลก และผมหวังว่าผู้อ่านจะประทับใจมัน ขอบพระคุณครับ


เขียนโดย The Lite Team

LS Sport ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชั่วโมง




ติดตามข่าวสารฟุตบอลต่างประเทศและคอลัมน์ฟุตบอล ข้อมูลเที่ยงตรง เข้าถึงข้อมูลร้อนเร็วทันเหตุการณ์จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ รายละเอียดเกี่ยวกับเกม ผลการแข่งขัน, สถิติของทีม, ข่าวเกี่ยวกับนักเตะและทีมรัก, ทรรศนะ และบทวิเคราะห์, และข้อมูลอื่น ๆ จากทีมชั้นนำจากทั่วโลก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง, อินเตอร์ มิลาน, เอซี มิลาน, ยูเวนตุส และอื่นๆ อีกมากมาย ข่าวสารบอล ต้องเว็บไซค์ของคนบ้าบอล ข่าวสดยุคใหม่ 24 ชั่วโมง ต้อง lockscore.com เท่านั่น

icon
icon

0'

Aston Villa

1

icon

Leeds United

2

icon LIVE NOW